เมนู

พรรณนาคาถาว่า เอตาทิสานิ


พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัส มหามงคล 38 ประการ ด้วยคาถา
10 คาถา มีว่า อเสวนา จ พาลานํ การไม่คบพาลเป็นอาทิ อย่างนี้แล้ว
บัดนี้ เมื่อจะทรงชมเชยมงคลที่พระองค์ตรัสเหล่านั้นแล จึงได้ตรัสคาถาสุดท้าย
ว่า เอตาทิสานิ กตฺวาน เป็นต้น.
พรรณนาความแห่งคาถาสุดท้ายนั้นดังนี้ บทว่า เอตาทิสานิ แปลว่า
เช่นนี้ เหล่านั้น คือมีการไม่คบพาล เป็นต้น มีประการที่เรากล่าวมาแล้ว.
บทว่า กตฺวาน แปลว่า กระทำ. ความจริงคำนี้ไม่นอกเหนือไปจากความว่า
กตฺวาน กติวา กริตฺวา [ซึ่งแปลว่าการทำเหมือนกัน]. บทว่า สพฺพตฺ-
ถมปราชิตา
ความว่า สัตว์ทั้งหลาย กระทำมงคลเช่นนี้เหล่านั้น อันข้าศึก
4 ประเภท คือ ขันธมาร กิเลสมาร อภิสังขารมารและเทวปุตตมาร แม้แต่
ประเภทเดียวทำให้พ่ายแพ้ไม่ได้ ในที่ทั้งปวง ท่านอธิบายว่า ยังมารทั้ง 4
นั้นให้พ่ายแพ้ด้วยตนเอง. ก็ ม อักษรในคำว่า สพฺพตฺถมปราชิตา นี้ พึง
ทราบว่า เพียงทำการต่อบท.
บทว่า สพฺพตฺถ โสตฺถึ คจฺฉนฺติ ความว่า สัตว์ทั้งหลายกระทำ
มงคลเช่นที่กล่าวมานี้ เป็นผู้อันมารทั้ง 4 ทำให้พ่ายแพ้ไม่ได้แล้ว ย่อมถึง
ความสวัสดีในที่ทั้งปวง คือ ในโลกนี้ และโลกหน้า และที่ยืนและที่เดินเป็นต้น
อาสวะเหล่าใดที่ทำความคับแค้นและเร่าร้อน พึงเกิดขึ้นเพราะการคบพาลเป็น
ต้น เหตุไม่มีอาสวะเหล่านั้น จึงถึงความสวัสดี ท่านอธิบายว่า เป็นผู้อัน
อุปัทวะไม่ขัดขวาง อันอุปสรรคไม่ขัดข้อง เกษมปลอดโปร่ง ไม่มีภัยเฉพาะ
หน้าไป. ก็นิคคหิต ในคำว่า สพฺพตฺ โสตฺถึ คจฺฉนฺติ นี้พึงทราบว่า
ตรัสเพื่อสะดวกแก่การผูกคาถา.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงจบเทศนาด้วยบทแห่งคาถาว่า ตํ เตสํ
มงฺคลฺมุตฺตมํ.
ทรงจบอย่างไร. ทรงจบว่า ดูก่อนเทพบุตร เพราะเหตุที่ชน

ผู้กระทำมงคลเช่นที่กล่าวนี้ย่อมถึงความสวัสดีในที่ทั้งปวงอย่างนี้ ฉะนั้น ท่าน
จึงถือว่า มงคลทั้ง 38 ประการ มีการไม่คบพาลเป็นต้นนั้นสูงสุด ประเสริฐ
สุด ดีที่สุด สำหรับชนเหล่านั้น ผู้กระทำมงคลเช่นที่กล่าวมานี้.
ตอนสุดท้าย เทศนาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจบอย่างนี้ เทวดา แสน
โกฎิบรรลุพระอรหัต. จำนวนผู้บรรลุโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล
นับไม่ได้. ครั้งนั้น วันรุ่งขึ้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียก พระอานนท์เถระ
มาตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ เมื่อคืนนี้ เทวดาองค์หนึ่งเข้ามาถามมงคลปัญหา
ครั้งนั้นเราได้กล่าวมงคล 38 ประการแก่เทวดาองค์นั้น ดูก่อนอานนท์ เธอ
จงเรียนมงคลปริยายนี้ ครั้นเรียนแล้วจงสอนภิกษุทั้งหลาย. พระเถระเรียน
แล้วก็สอนภิกษุทั้งหลาย. มงคลสูตรนี้นั้น อาจารย์นำสืบ ๆ กันมาเป็นไปอยู่จน
ทุกวันนี้ พึงทราบว่า ศาสนพรหมจรรย์นี้มั่นคงเจริญแพร่หลาย รู้กันมากคน
พาแน่น ตราบเท่าที่เทวดาและมนุษย์ประกาศดีแล้ว.
เพื่อความฉลาดในการสะสมความรู้ในมงคลเหล่านั้นเอง บัดนี้ จะ
ประกอบความตั้งแต่ต้นดังนี้.
สัตว์ทั้งหลายผู้ปรารถนาสุขในโลกนี้โลกหน้าและโลกุตรสุขเหล่านั้น ละ
การคบคนพาลเสีย อาศัยแต่บัณฑิต, บูชาผู้ที่ควรบูชา. อันการอยู่ในปฏิรูป-
เทส, และความเป็นผู้ทำบุญไว้ในก่อนตักเตือนในการบำเพ็ญกุศล. ตั้งตนไว้
ชอบ มีอัตภาพอันประดับด้วยพาหุสัจจะ ศิลปะ และวินัย, กล่าวสุภาษิตอัน
เหมาะแก่วินัย. ยังไม่ละเพศคฤหัสถ์ตราบใด, ก็ชำระมูลหนี้เก่าด้วยการบำรุง
มารดาบิดา, ประกอบมูลหนี้ใหม่ด้วยการสงเคราะห์บุตรและภรรยา ถึงความ
มั่งคั่งด้วยทรัพย์และข้าวเปลือก ด้วยความเป็นผู้มีการงานไม่อากูล, ยึดสาระ
แห่งโภคะด้วยทาน และสาระแห่งชีวิตด้วยการประพฤติธรรม, กระทำประโยชน์
เกื้อกูลแก่ชนของตน ด้วยการสงเคราะห์ญาติ และประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนอื่น ๆ

ด้วยความเป็นผู้มีการงานอันไม่มีโทษ. งดเว้นการทำร้ายผู้อื่นด้วยการเว้นบาป
การทำร้ายตนเอง ด้วยการระวังในการดื่มกินของเมา, เพิ่มพูนฝ่ายกุศลด้วย
ความไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย, ละเพศคฤหัสถ์ด้วยความเป็นผู้เพิ่มพูนกุศล
แม้คงอยู่ในภาวะบรรพชิต ก็ยังวัตรสัมปทาไห้สำเร็จด้วยความเคารพในพระ-
พุทธเจ้า สาวกของพระพุทธเจ้าและอุปัชฌายาจารย์เป็นต้น และด้วยความ
ถ่อมตน, ละความละโมภในปัจจัยด้วยสันโดษ, ตั้งอยู่ในสัปปุริสภูมิด้วยความ
เป็นผู้กตัญญู, ละความเป็นผู้มีจิตหดหู่ด้วยการฟังธรรม, ครอบงำอันตรายทุก
อย่างด้วยขันติ, ทำคนให้มีที่พึ่ง ด้วยความเป็นผู้ว่าง่าย, ดูการประกอบข้อ
ปฏิบัติด้วยการเห็นสมณะ บรรเทาความสงสัยในธรรมทั้งหลายอันเป็นที่ตั้ง
แห่งความสงสัย ด้วยการสนทนาธรรม, ถึงศีลวิสุทธิ ด้วยตปะคืออินทรีย-
สังวร ถึงจิตตวิสุทธิ ด้วยพรหมจรรย์คือสมณธรรม และยังวิสุทธิ 4 นอกนั้น
ให้ถึงพร้อม, ถึงญาณทัสสนวิสุทธิอันเป็นปริยายแห่งการเห็นอริยสัจด้วยปฏิปทา
นี้ กระทำให้แจ้งพระนิพพานที่นับได้ว่าอรหัตผล, ซึ่งครั้น กระทำให้แจ้งแล้ว
เป็นผู้มีจิตไม่หวั่นไหวด้วยโลกธรรม 8 เหมือนสิเนรุบรรพต ไม่หวั่นไหวด้วย
ลมและฝน ย่อมเป็นผู้ไม่เศร้าโศก ปราศจากละอองกิเลส มีความเกษมปลอด
โปร่ง และความเกษมปลอดโปร่งย่อมเป็นผู้แม้แต่ศัตรูผู้หนึ่งให้พ่ายแพ้ไม่ได้
ในที่ทั้งปวง ทั้งจะถึงความสวัสดีในที่ทุกสถาน.
ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
สัตว์ทั้งหลายกระทำมงคลเช่นที่กล่าวมานี้แล้ว
เป็นผู้อันมารให้พ่ายแพ้ไม่ได้ในที่ทั้งปวง ย่อมถึงความ
สวัสดีในที่ทุกสถาน นั้นเป็นมงคลอุดมของสัตว์เหล่า
นั้น.

จบพรรณนามงคลสูตร
แห่ง
ปรมัตถโชติกา อรรถกถาขุททกปาฐะ

รัตนสูตร


ว่าด้วยรัตนอันประณีต


พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรัตนสูตรเป็นคาถาว่าดังนี้
[7] หมู่ภูตเหล่าใด อยู่ภาคพื้นดิน หรือเหล่า
ใดอยู่ภาคพื้นอากาศ มาประชุมกันแล้วในที่นี้ ขอหมู่
ภูตทั้งหมด จงมีใจดี และจงฟังสุภาษิตโดยเคารพ
เพราะฉะนั้น ขอท่านฟังหมดจงตั้งใจฟัง จงแผ่เมตตา
ในหมู่ประชาที่เป็นมนุษย์ มนุษย์เหล่าใด ย่อมนำพลี
กรรมไปทั้งกลางวันและกลางคืน เพราะฉะนั้น ท่าน
ทั้งหลาย จงไม่ประมาท ช่วยรักษามนุษย์เหล่านั้น.
ทรัพย์เครื่องปลื้มใจอย่างใดอย่างหนึ่งในในที่นี้
หรือในโลกอื่น หรือรัตนะใดอันประณีตในสวรรค์
ทรัพย์เครื่องปลื้มใจและรัตนะนั้นที่เสมอด้วยพระตถา-
คตไม่มีเลย แม้อันนี้เป็นรัตนะอันประณีตในพระพุทธ
เจ้า. ด้วยคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดีจงมี.
พระศากยมุนี พระหฤทัยตั้งมั่นทรงบรรลุธรรม
ใด เป็นที่สิ้นกิเลส ปราศจากราคะ เป็นอมตธรรม
ประณีต สิ่งไร ๆ ที่เสมอด้วยธรรมนั้นไม่มี แม้อันนี้
เป็นรัตนะอันประณีตในพระธรรม. ด้วยคำสัตย์นี้ ขอ
ความสวัสดีจงมี.